แม้ว่าเคยมีการวิเคราะห์กันมาแล้วว่า 467 เศรษฐีทีร่ำรวยที่สุดในโลก มีเงินเพียงพอที่จะสามารถซื้อประกัน หรือ ทำประกันสุขภาพให้กับ ผู้คนได้ทั่วโลก แต่อย่างไรก็ดี คงไม่มีใครเอาเงินมาทำอะไรอย่างนี้แน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความรวยที่หามาได้ด้วยมือตัวเอง อาจไม่ได้ง่ายนักที่จะแบ่งปันให้กับคนอื่นๆได้อย่างง่ายๆ
แต่คำถามก็คือ สำหรับผู้ที่มีอันจะกิน ถึงขั้นเศรษฐีพันล้านแล้ว เราเคยสงสัยมั้ยว่า ผู้คนเหล่านี้ ได้เคยมีทำประกันสุขภาพ หรืออุบัติเหตุหรือไม่? อย่างไร?
เศรษฐี เค้าทำประกันกันหรือเปล่านะ?
ไม่เพียงแต่เราคนไทยเท่านั้นที่มีความสงสัยหนักในเรื่องนี้ ซึ่ง คำถามนี้ ไม่สามารถตอบได้ทุกคน เพียงแต่ว่า เคยมีการดาดการณ์ไว้ว่า เศรษฐีระดับพันล้านนั้น มักจะมีประกันสุขภาพ หรือ ประกันต่างๆ จากทางบริษัทที่ตัวเองเป็นจ้าของอยู่แล้ว ซึ่งการมีประกันลักษณะนี้ อาจครอบคลุมถึง ครอบครัวของเค้าเหล่านั้นด้วย
อย่างไรก็ดี มีผู้พบว่าผู้มีเงินหลายคนมี Health Insurance หรือ ประกันสุขภาพ และมีประกันอื่นๆร่วมด้วย ยกตัวอย่างเช่น ประกันชีวิตเพื่อที่จะรับประกันว่า ชีวิตของพวกเค้าเหล่านั้นมีมูลค่า ซึ่งมหาเศรษฐีเหล่านี้ มีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าเบี้ยประกันรายปีหลายล้านบาทได้อย่างสบายๆ
ในบางประเทศอย่าง Germany มีกฎหมายไว้ว่า พลเรือน ทุกคน จะต้องมีประกันสุขภาพ นั่นหมายถึงว่า หากเป็นเศรษฐีชาวเยอรมัน ไม่ว่าจะเป็นใครก็แล้วแต่ จะต้องมีประกันทุกครั้งไป โดยที่คนทีมีรายได้สูง จะมีประกันสุขภาพที่มีราคาถูกกว่าผู้ที่มีรายได้ต่ำ
3 เหตุผลที่ คนรวย มักซื้อประกัน ทุกคน
หากคุณมีเงินเยอะ หลักร้อย หรือ พันล้าน คุณอาจจะต้องนึกถึงว่า หากเสียชีวิตไปแล้ว เงินยังใช้ไม่หมด จะต้องเก็บไว้ให้ใคร? คำตอบส่วนใหญ่ที่ได้มาก็คือ การเก็บไว้ให้ลูกให้หลานนั่นเอง หรือที่เรียกว่า Passing Assets to Future Generations เพื่อให้รุ่นลูกหลานต่อไปได้อยู่สบาย
แต่การจะถ่ายทอดออกไปได้นั้น อาจแปลว่า จะต้องใช้เงินปรนเปรอตัวเองให้พอ และให้เหลือเยอะที่สุดเท่าที่จะมากได้ นั่นเป็นเพียงแค่ 1 เหตุผล ที่คนรวยหลายๆคนจะทำ แต่จริงๆแล้ว มีทั้งหมด 3 หัวข้อด้วยกัน (อ้างอิง investopedia.com)
ระบบภาษี เอื้อให้กับการทำประกัน
เนื่องจากคนรวย มักจะเจอภาษีเยอะ และการซื้อประกันชีวิต หรือ ประกันสุขภาพ ก็สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ และ ประกันเหล่านั้น หากเกิดอะไรขึ้นกับผู้ทำประกัน ก็สามารถให้ผลประโยชน์กับผู้สืบทอดได้อีก นั่นแปลว่า การทำประกันจะได้สองต่อ นั่นเอง
สิ่งหนึ่งที่คนรวยมักคิดเสมอก็คือ การ นำเอาค่าใช้จ่ายทุกประเภทไปลดหย่อนภาษี ดังนั้น การซื้อประกันที่ได้มากถึง 2 ต่อ ก็เป็นหนึ่งในแผนการนี้
ประกันชีวิต คุ้มครอง เจ้าของกิจการ
สำหรับเจ้าของกิจการที่มีมูลค่าหลายร้อยล้าน ย่อมต้องเป็นห่วงกิจการ ของตัวเอง และประกันชีวิต จะคุ้มครองเจ้าของกิจการได้ โดยที่จะชดเชยค่าเสียหายจากการเสียชีวิต ฯลฯ เมื่อเจ้าของกรมธรรม์ไม่อยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งค่าใช้จ่ายอาจครอบคลุมถึงค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นภายในบริษัทได้
คนรวยมองว่า ประกัน เป็นทรัพย์สินประเภทหนึ่ง
คนรวย ที่รวยมาก มักรวยเพิ่มจากการลงทุน และหนึ่งในการลงทุนนั้นก็คือ การซื้อประกันชีวิต หรือ ประกันสุขภาพ ที่จะมีผู้จ่ายเงินให้เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ซึ่ง จะถูกนับเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่งของเศรษฐีเหล่านี้นั่นเอง
โดยประกันชีวิตบางตัว จะคุ้มครองตลอดชีวิต (Permanent Life Insurance) และ เมื่อประกันเหล่านี้ ไม่ได้ถูกใช้ ก็สามารถขายเป็น Life Settlement ซึ่งจะมีมูลค่ามาก และแน่นอนว่าเป็นทรัพย์สินที่สามารถเก็บไว้ได้ด้วย
ประกันชีวิต หรือ สุขภาพ คุ้มเฉพาะสำหรับคนรวยจริงหรือ?
บางคนคิดว่าการซื้อประกันจะไว้ใช้สำหรับลดหย่อนภาษี หรือ การลงทุนเท่านั้น และเหมาะสำหรับคนเงินเดือนสูง หรือ คนรวย แต่จริงๆแล้ว หากคุณเข้าหัวข้อเหล่านี้ คุณควรมีประกันชีวิต หรือ ประกันสุขภาพเอาไว้
- แต่งงานแล้ว และมี ลูก
- ถ้าคุณเป็นคนเดียวที่หาเงินเข้าบ้าน
- ถ้าคุณต้องการที่จะอยู่ตัวคนเดียวตอนแก่
- ถ้าคุณ มีการกู้ร่วม หรือ มีการกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา สินเชื่อรถยนต์
- ถ้าคุณอยากมีค่าจัดงานศพของตัวเอง
นั่นคือเหตุผลทั้งหมด ที่บุคคล คนหนึ่ง ควรจะมีประกันชีวิต หรือ ประกันสุขภาพ เอาไว้
โดยสรุป คนรวย กับ ประกัน
ในปัจจุบัน ประกันสุขภาพ และ ประกันชีวิต กลายเป็นปัจจัยที่ 6 (ปัจจัยที่ 5 คือ Smartphone) ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และไม่ว่าใครก็ตามที่มีภาระผูกพันธ์ ก็ควรที่จะมีประกันติดตัวเอาไว้ ซึ่งการมีเอาไว้นั้น ไม่จำเป็นจะต้องเป็นตัวที่มีเบี้ยสูง และอาจหาความเหมาะสมได้
สำหรับคนรวย เศรษฐี ไม่ว่าจะประเทศไหนก็ตาม การที่เค้ามีเงินรวยได้นั้น อาจไม่ใช่โชคอย่างเดียว ดังนั้น การทำตามคนรวย ทีมีเหตุผลชัดเจน เป็นเรื่องที่ดี จึงควรมีประกันเอาไว้ อย่างน้อยๆ 1 กรมธรรม์ สำหรับทุกคน